Last updated: 31 ต.ค. 2567 | 82 จำนวนผู้เข้าชม |
ในปัจจุบัน “ภูมิแพ้อาหาร” และ “ภูมิแพ้อาหารแฝง” เป็นคำที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ แม้ว่าทั้งสองจะเกี่ยวข้องกับอาการแพ้อาหาร แต่ก็มีความแตกต่างกันในแง่ของสาเหตุและวิธีการแสดงออกของอาการ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อาหารแฝงจะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อาหารแฝง
ภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy) คือ ปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่ออาหารบางชนิดที่ร่างกายคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม อาการมักเกิดขึ้นทันทีหรือในระยะเวลาไม่กี่นาทีหลังจากการบริโภคอาหารที่แพ้ อาการอาจมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น คัน หรือบวมบริเวณริมฝีปาก ไปจนถึงอาการรุนแรง เช่น หายใจไม่ออก ความดันโลหิตลดลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในบางกรณี
ภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) คือ การตอบสนองของร่างกายต่ออาหารบางชนิดที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง อาการมักจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และซ่อนอยู่ จนผู้ป่วยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเป็นเพราะอาหารที่รับประทานเข้าไป อาการอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงหรือเป็นวันหลังจากบริโภคอาหารนั้น ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงว่าอาหารนั้นเป็นสาเหตุ
สาเหตุของภูมิแพ้อาหารแฝง
ภูมิแพ้อาหารแฝงเกิดจากการที่ระบบย่อยอาหารและร่างกายไม่สามารถย่อยหรือรับมือกับสารบางชนิดในอาหารได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยอาหาร หรือการที่ร่างกายสร้างสารเคมีที่มีผลต่อระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกันขึ้นมากเกินไป ตัวอย่างของอาหารที่มักก่อให้เกิดภูมิแพ้อาหารแฝง ได้แก่ นมวัว ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด และไข่
ผลกระทบของภูมิแพ้อาหารแฝงต่อร่างกาย
แม้ภูมิแพ้อาหารแฝงจะไม่รุนแรงเท่าภูมิแพ้อาหาร แต่ถ้าไม่รับมือกับปัญหานี้อย่างถูกต้อง อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำหนักขึ้นหรือบวมน้ำ ปัญหาผิวพรรณ เช่น สิวหรือผื่นแดง นอกจากนี้ยังมีผลต่อพลังงานและอารมณ์ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย หรือซึมเศร้าได้
วิธีรักษาภูมิแพ้อาหารแฝงโดยไม่ต้องใช้ยา
การรักษาภูมิแพ้อาหารแฝงไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือการรักษาทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ในหลายกรณี เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการบริโภคและลดการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดปัญหาก็สามารถช่วยลดอาการแพ้แฝงได้ ควรเริ่มจากการจดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละวันและสังเกตอาการของตนเอง เมื่อพบอาหารที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดอาการแพ้แฝง ควรหลีกเลี่ยงหรือลดการบริโภคอาหารนั้น
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร เช่น โพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรืออาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้ ก็จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่ร่างกายจะเกิดภูมิแพ้อาหารแฝง
ภูมิแพ้อาหารแฝงสามารถตรวจได้ด้วยการตรวจเลือด
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ทำให้เราสามารถตรวจหาภูมิแพ้อาหารแฝงได้ง่ายขึ้นด้วยการตรวจเลือด การตรวจเลือดนี้สามารถช่วยระบุได้ว่า ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสารอาหารชนิดใดบ้าง ทำให้เราสามารถปรับพฤติกรรมการบริโภคให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายของเราได้อย่างเหมาะสม การตรวจเลือดเป็นวิธีที่แม่นยำและสะดวก จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจมีภูมิแพ้อาหารแฝง
สรุป
ภูมิแพ้อาหารและภูมิแพ้อาหารแฝง แม้จะมีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ภูมิแพ้อาหารมักเกิดขึ้นทันทีและอาจมีอาการรุนแรง ในขณะที่ภูมิแพ้อาหารแฝงมีอาการซ่อนอยู่และเกิดขึ้นช้า ๆ การตรวจเลือดเป็นวิธีที่ช่วยให้เรารู้ว่าอาหารใดที่ร่างกายอาจไม่เหมาะสม และสามารถปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพของเราดีขึ้นอย่างยั่งยืน
หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสมดุลลำไส้ แนะนำอาหารเสริม 10Probiotics ของ CEO FACTORY :https://www.ceofactorythailand.com/10probiotics